จากหลักการทำงานขั้นพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้มีการพัฒนาองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมา องค์ประกอบดังกล่าว คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รองรับการทำงานแต่ละขั้นตอน ดังนั้นคอมพิวเตอร์จึงมีอุปกรณ์สำคัญหลายอย่าง ซึ่งทำงานสัมพันธ์กันและมีกระบวนการทำงานเป็นขั้นตอนตามที่โปรแกรมกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ประเภทใด ยี่ห้อใด รุ่นใด ต่างก็มีหลักการทำงานในลักษณะเดียวกัน คอมพิวเตอร์จะทำงานได้อย่างเป็นระบบนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ ดังนี้
1) หน่วยรับเข้า (input unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ ส่งเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปทำตามคำสั่งที่ต้องการ อุปกรณ์หน่วยรับเข้าที่มีในปัจจุบัน เช่น เมาส์ แป้นพิมพ์ เครื่องสแกนเนอร์ อุปกรณ์จับภาพ อุปกรณ์รับเสียง เป็นต้น
2) หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit: CPU) ซีพียูเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์ต่างๆให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
3) หน่วยความจำหลัก (main memory) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมคำสั่งต่างๆในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์เปิดใช้งานอยู่เท่านั้น หากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์จะทำให้ข้อมูลนั้นหายไป หน่วยความจำหลักทำงานควบคู่ไปกับหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ หน่วยความจำแรม และหน่วยความจำรอม
4) หน่วยความจำรอง (secondary storage) เป็นอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์อย่างถาวร ผู้ใช้สามารถเรียกข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ในภายหลังได้ แม้จะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ข้อมูล แต่โปรแกรมที่เก็บไว้จะไม่สูญหาย อุปกรณ์หน่วยความจำสำรองที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ฮาร์ดดิสก์ ออปติคัลดิสก์ เป็นต้น
5) หน่วยส่งออก (output unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสดงหลข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลที่ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย เป็นทั้งภาพ เสียง สี แสง ตัวอักษร รูปภาพ อุปกรณ์หน่วยแสดงผลที่มีในปัจจุบัน เช่น จอภาพ ลำโพง เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ จะมีองค์ประกอบที่ทำหน้าที่รองรับการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์แต่ละขั้นตอน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังตาราง
หน้าที่การทำงานพื้นฐาน | องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ |
รับข้อมูลเข้า(input unit) | หน่วยรับเข้า (input unit) |
ประมวลผลข้อมูล( processing) | หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit: CPU) |
จัดเก็บข้อมูล( storage) | หน่วยความจำหลัก (main memory) หน่วยความจำรอง (secondary storage) |
หน่วยส่งออก(output unit) | แสดงผลข้อมูล (output) |
2.1 หน่วยรับข้อมูล
หน่วยรับเข้า (input unit) เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์ และแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบสัญญาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์สามารถประมวลได้
ข้อมูลเข้า(input) ประกอบด้วย ข้อมูล (data) และคำสั่ง (program) โดยข้อมูลอาจอยู่ในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ซึ่งข้อมูลจะถูกนำเข้าเมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรม Microsoft Office Word ผู้ใช้ต้องป้อนข้อมูลในรูปแบบของตัวอักษรและสัญลักษณ์ รวมทั้งรับคำสั่งเพื่อการจัดเก็บ (save) ข้อมูล เป็นต้น หน่วยรับเข้าจึงมีอุปกรณ์มากมายที่มีความสามารถในการรับข้อมูลเข้าที่มีรูปแบบแตกต่างกัน
อุปกรณ์หน่วยรับเข้าที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น 7 กลุ่ม ดังนี้
1) อุปกรณ์แบบกด (keyed device) เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบไปด้วยปุ่มสำหรับกด เพื่อป้อนข้อมูลในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์เพเศษเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์แบบกดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ แป้นพิมพ์ ซึ่งแป้นพิมพ์ประกอบด้วยปุ่มสำหรับการพิมพ์อักขระ พิมพ์ตัวเลข การเรียกใช้ฟังก์ชันของซอฟต์แวร์ และการควบคุมการทำงานร่วมกับปุ่มอื่นๆ
ปัจจุบันแป้นพิมพ์ที่วาวงจำหน่ายมีการพัฒนาระบบต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ได้แก่ ระบบการเชื่อมต่อแบบมีสายและไร้สาย การออกแบบตัวแป้นและปุ่มควบคุมการใช้งานมัลติมีเดีย แป้นพิมพ์จึงมีหลากหลายชนิดสำหรับการสนับสนุนการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนี้
1.1) แป้นพิมพ์ไร้สาย (cordless keyboard) แป้นพิมพ์ที่ออกแบบเพื่อส่งผ่านข้อมูลโดยเทคโนโลยีไร้สาย และการทำงานโดยพลังงานแบตเตอรี่ ทำให้เกิดความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
1.2) แป้นพิมพ์ที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ (ergonomics keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่มีการออกแบบโดยคำนึงถึงความเสี่ยงกับการได้รับบาดเจ็บของผู้ใช้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
1.3) แป้นพิมพ์พกพา (portable keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่ออกแบบสำหรับเครื่องพีดีเอ มีทั้งแบบพับและแบบที่ทำจากยางสามารถม้วนเก็บได้ ทำให้ใช้งานได้สะดวก
1.4) แป้นพิมพ์เสมือน (virtual keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่ออกแบบสำหรับใช้ร่วมกับเครื่องพีดีเอ ซึ้งใช้เลเซอร์ในการจำลองภาพให้เสมือนแป้นพิมพ์จริง
เกร็ด IT
การใช้แป้นพิมพ์ที่ถูกต้อง
การใช้แป้นพิมพ์ที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดเมื่อยหรืออาการบาดเจ็บของมือ ข้อมือ และแขน มีดังนี้
1. วางแป้นพิมพ์ให้อยู่ตรงกลางด้านหน้าและวางในระดับข้อศอกของผู้ใช้
2. ผู้ใช้ควรวางมือและข้อมือให้ลอยเหนือแป้นพิมพ์ ปล่อยแขนทั้งสองข้างไว้ขนานกับลำตัว ไม่ต้องเกร็ง
3. ขณะพิมพ์ผู้ใช้ควรรักษาระดับของข้อมือให้ตรง และกดปุ่มกดบนแป้นพิมพ์เบาๆ
4. หลีกเลี่ยงการพักฝ่ามือหรือข้อมือบนพื้นใดๆในขณะพิมพ์ หากต้องการพักฝ่ามือ
มุมเทคโนโลยี
ความรู้เกี่ยวกับแป้นพิมพ์
แป้นพิมพ์เป็นอุปกรณ์หน่วยรับเข้าขั้นพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ซึ่งจะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนรหัสเพื่อส่งเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ป้อนข้อมูลจะมีประมาณ 101-104 แป้น สามารถแบ่งกลุ่มแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มแป้นพิมพ์ที่ใช้ตัวอักษร หรือเรียกว่า แป้นอักษร ใช้พิมพ์ตัวอักษร a-z และตัวอักษร ก-ฮ รวมทั้งสระและวรรณยุกต์ต่างๆในภาษาไทยด้วย
2. กลุ่มแป้นพิมพ์ที่ใช้แสดงหน้าพิเศษ หรืออาจเรียกว่าเป็นกลุ่ม function key มีตัวอักษร F1-F12 กำกับสำหรับเป็นแป้นทางลัดเพื่อเรียกใช้คำสั่งของโปรแกรมที่กำลังทำงาน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละโปรแกรม เช่น F1 คือ คำสั่งช่วยเหลือ (help) ของโปรแกรม เป็นต้น
3. กลุ่มแป้นพิมพ์ที่ใช้พิมพ์ตัวอักษร หรือเรียกว่า numeric key ใช้พิมพ์ตัวเลข และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ บวก ลบ คูณ และหาร
นอกจากนี้ยังมีปุ่มที่ทำหน้าที่เสมือนแป้นพิมพ์คำสั่งเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ดังตาราง
ปุ่มกด | การทำงาน |
Escape | เพื่อยกเลิกการทำงานเดิมหรือจบการเล่นเกม และย้อนกลับไปที่คำสั่งก่อนหน้า |
Print Screen | เพื่อพิมพ์ข้อความที่เห็นบนจอภาพออกทางเครื่องพิมพ์ |
Caps Lock | สำหรับยกแคร่ค้างไว้เพื่อพิมพ์ตัวอักษรแบบตัวพิมพ์ใหญ่ |
Shift | แป้นยกแคร่ ถ้าเป็นภาษาไทย กดค้างไว้เพื่อพิมพ์ตัวอักษรบน ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ กดค้างไว้เพื่อพิมพ์ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ |
Ctrl | กดค้างไว้แล้วกดอักษรตัวอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น Ctrl+Alt+Delete เป็นการรีเซ็ตเครื่องใหม่ Crtl+B เพื่อทำตัวอักษรหนา เป็นต้น |
Alternate | กดคู่ดับแป้นอื่นๆเพื่อทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น Alt+F4 เพื่อปิดโปรแกรม เป็นต้น |
Backspace | แป้นเลื่อนถอยกลัง กดเพื่อลบตัวอักษรทางซ้าย |
Space bar | เพื่อเว้นวรรค |
Enter | กดเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับคำสั่งไปปฏิบัติตามที่ต้องการ และขึ้นบรรทัดใหม่ |
Num Lock | กดเพื่อใช้ตัวเลขทางขวา |
Scroll Lock | กดเพื่อล็อกบรรทัดที่กำลังพิมพ์งานไม่ให้เลื่อนบรรทัด ถึงแม้จะกดแป้น Enter ก็ไม่มีผล |
ที่มา : http://www.chandra.ac.th/office/ict/document/it/it01/com_08.htm
2. อุปกรณ์ชี้ตาแหน่ง (point device) หรือเมาส์ (mouse) เป็นอุปกรณ์ที่สำหรับเลื่อนตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ทำให้มีการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รวดเร็วกว่าแป้นพิมพ์ อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งจะรับข้อมูลจากการชี้ คลิก ดับเบิลคลิก ลากและวาง จากนั้นข้อมูลจะถูกแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ปกติตัวชี้ตำแหน่งของเมาส์จะเป็นรูปลูกศร และมีกลไกลภายในเครื่องคอมที่สามารถจับได้ว่าเมาส์เลื่อนตำแหน่งไปมากน้อยแค่ไหนและในทิศทางใด อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่นิยมใช้ มีดังนี้
2.1 เมาส์แบบทั่วไป (mechanical mouse) เป็นเมาส์ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้ลูกบอลเป็นตัวจับทิศทางที่เมาส์เลื่อนไป
2.2 เมาส์แบบแสง (optical mouse) เป็นเมาส์ที่ออกแบบโดยใช้แสงส่องไปกระทบพื้นผิวด้านล่าง โดยวงจรภายในเมาส์จะวิเคราะห์แสงสะท้อนที่เปลี่ยนไปเมื่อเลื่อนเมาส์และแปลงทิศทางไปทางชี้ตำแหน่ง
2.3 เมาส์แบบไร้สาย (wireless mouse) เมาส์ที่ใช้คลื่นวิทยุหรือแสงอนฟราเรดในการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้มีการเคลื่อนไหวที่สะดวก
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สมัยใหม่ที่ใช้หลักการทำงานของอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่อำนวยความสะดวกในการใช้งานมากมาย ได้แก่
· ลูกกลมควบคุม (track ball) เป็นอุปกรณ์ที่มีลูกบอลขนาดเล็กวางอยู่ด้านบน ผู้ใช้สามารถหมุนลูกบอลเพื่อเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ
· แท่งชี้ควบคุม (track popint) เป็นแท่งพลาสติกเล็กๆอยู่ตรงกลางแป้นพิมพ์ ผู้ใช้สามารถเลื่อนตำแหน่งตัวชี้บนจอภาพได้โดยชี้นิ้วหัวแม่มือกดและเลื่อน
· แผ่นรองสัมผัส (touch pad) เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมที่วางอยู่หน้าแป้นพิมพ์ของโน๊ตบ๊คคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถชี้นิ้งมือเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่างๆ เพื่อลเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนหน้าจอ
· จอยสติ๊ก (joystick) เป็นการสำหรับใช้ยกไปตามทิศทางที่ต้องการ เพื่อย้ายตัวชี้ตำแหน่งบนหน้าจอภาพ และมีแป้นกดสำหรับสั่งงานพิเศษ นิยมใช้กับการเล่นเกมศืคอมพิวเตอร์
· เมาส์ที่ควบคุมด้วยเท้า (foot mouse) เป็นเมาส์ที่ออกแบบสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใชมือในการควบคุมเมาส์แบบปกติได้ โดยเมาส์ชนิดนี้จะเลื่อนตัวชี้ตำแหน่งและคลิกได้ด้วยเท้า
· เมาส์ที่ควบคุมด้วยสายตา (eye tracking) เป็นเมาส์ที่ออกแบบมาสำหรับการควบคุมตัวชี้ตำแหน่งด้วยสายตาหรือเรตินา
· ไจโรสโคปิก เมาส์ (gyroscopic mouse) เป็นเมาส์ที่ควบคุมตัวชี้ตำแหน่งโดยไม่ต้องใช้พื้นผิวสัมผัส ผู้ใช้สามารถเคลื่อไหวเมาส์ในอากาศ เพื่อควบคุมตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ
3. จอภาพระบบไวต่อการสัมผัส (touch sensitive screen) เป็นหน้าจอที่รองรับการทำงานแบบสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสด้วยนิ้วมือหรือปากกาแสง ทำงานได้เพียงนิ้วมือหรือปากกาลงบนจอภาพในตำแหน่งที่โปรแกรมกำหนดไว้ โปรแกรมจะทำงานรับข้อมูลและทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้เลือกการใช้งานลักษณะนี้นิยมใช้กับผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่คล่อง ซึ่งช่วยให้ใช้งานได้เร็ว
ปัจจุบันมีระบบจอภาพไวต่อการสัมผัสที่สามารถรับข้อมูลได้หลายจุดพร้อมๆกัน เรียกว่า มัลดิชัน (multitouch) ส่วนใหญ่ประยุกต์ใช้งานในงานธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ธนาคาร เป็นต้น
4. ระบบปากกา (pen-based system) เป็นการใช้อุปกรณืที่มีลักษณะคล้อยปากกาป้อนข้อมูลที่เป็นทั้งลายมือเขียนและภาพวาดลงบนจอภาพระบบไวต่อการสัมผัส ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ปากกาป้อนข้อมูลต้องมีระบบรู้ลายมือ (hand writing recognition) เพื่อวิเคราะห์ลายมือเขียนให้เป็นตัวอักษรได้ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวมักเกิดปัญหาเกี่ยวกับการตีความตัวอักษรที่เขียนโดยผู้ใช้แต่ละบุคคลระบบปากกาที่นิยมใช้ มีดังนี้
4.1 สไตลัส (stylus) มีลักษณะเป็นปากกาหัวเหล็กแหลม ใช้สำหรับป้อนข้อมูลลงบนจอภาพไวต่อการสัมผัสซึ่งนิยมใช้กับเครื่องอ่านพิกัด (tablet) เครื่องพีดีเอ และสมาร์ตโฟน
4.2 ปากกาแสง (linght pen) เป็นอุปกรณ์ที่มีหลักการทำงานเช่นเดียวกับสไตลัส แต่ปากกาจะมีความไวต่อแสงมีสายที่มีการใช้เชื่อมต่อกับเครื่องคอม การใช้งานทำได้โดยการแตะปากกาแลงไปบนจอภาพตามตำแหน่งที่ต้องการ นิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้านกราฟฟิก เช่น การออกแบบ (computer aided design : CAD) การวาดภาพเป็นต้น
5. อุปกรณ์กราดข้อมูล (data scanning devices) เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์โดยการใช้แสงส่องผ่านข้อความ ภาพ หรือสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน อุปกรณ์กราดข้อมูลนิยมใช้งาน มีดังนี้
5.1 สแกนเนอร์ (scanner) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการส่องแสงไปยังข้อความ สัญลักษณ์ หรือภาพที่ต้องการเพื่อทำสำเนาภาพ จากนั้นข้อมูลที่สแกนเนอร์อ่านจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า และเก็บเป็นไฟล์ภาพ สแกนเนอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
* สแกนเนอร์มือถือ (handhelp scanner) เป็นสแกนเนอร์ที่มีขนาดเล็ก สามารถถือและพกพาได้สะดวก การใช้สแกนเนอร์มือถือนี้ ผู้ใช้ต้องถือตัวสแกนเนอร์เลื่อนผ่านบนภาพหรือเอกสารต้นฉบับที่ต้องการ
* สแกนเนอร์แบบสอดกระดาษ (sheet scanner) เป็นสแกนเนอร์ที่ผู้ใช้ต้องสอดภาพ หรือเอกสารเข้าไปยังช่องสำหรับอ่านข้อมูล เครื่องสแกนเนอร์นี้เหมาะสำหรับการอ่านเอกสารที่เป็นแผ่นกระดาษ แต่ไม่สามารถอ่านเอกสารที่เย็บเป็นเล่มได้
* สแกนเนอร์แบบแท่น (flatbed scanner) เป็นสแกนเนอร์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน มีขั้นตอนโดยการวางกระดาษเอกสารต้นฉบับที่ต้องการไปบนเครื่องสแกนเนอร์ ทำให้ใช้งานได้ง่าย
5.2 เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด (barcode reader) รหัสบาร์โค้ดเป็นสัญลักษณ์รหัสแท่ง ใช้แถบสีขาวสลับสีดำ แถบมีขนาดความหนาบางที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวเลขที่กำกับอยู่ด้านล่างของรหัสบาร์โค้ด ส่วนใหญ่นิยมใช้แทนการพิมพ์รหัสสินค้าในระบบการขายสินค้า การนำเข้าข้อมูลจากรหัสบาร์โค้ดเป็นวิธีที่รวดเร็ว และลดความผิดพลาดจากการพิมพ์ข้อมูล รวมทั้งให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน
การอ่านรหัสบาร์โค้ดต้องอาศัยเครื่องอ่านรหัส ซึ่งมีหลักการทำงานโดยการสะท้อนแสง เพื่ออ่านข้อมูลสิคนค้าจากฐานข้อมูลโดยไต้องผ่านการกดปุ่มที่แป้นพิมพ์โดยจะมีการแสดงรายละเอียดสินค้า ได้แก่ ราคาสินค้า ชื่อสินค้า จำนวนที่เหลืออยู่ในคลังสินค้าแล้วจึงทำการประมวลผล ระบบนี้เป็นมาตรฐานสากลที่นิยมใช้กันทั่วโลก
5.3 เครื่องอ่านอักขระด้วยแสง (optical character reader : OCR) เป็นอุปกรณ์ที่แปลงข้อมูลจากภาพของตัวอักขระราบมือเขียน หรือตัวอักษร (text) ที่แก้ไขได้ด้วยโปรแกรมประมวลผลคำ เช่น Microsoft Office Word, Adobe PageMaker เป็นต้น เครื่องอ่านอักขระด้วยแสงมี 2 ลักษณะ คือ ฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์เฉพาะสำหรับแปลงเอกสารเข้าสู่คอมพิวเตอร์ และซอฟแวร์สำหรับวิเคราะห์ตัวอักษรจากภาพที่ได้จากสแกนเนอร์
5.4 เครื่องอ่านสัญลักษณ์ด้วยแสง (optical mark reader : OMR) เครื่องอ่านสัณลักษณ์ด้วยแสงเป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการอ่านสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่มีการระบายหรือฝนบนเอกสารหรือแบบฟอร์ม ส่วนใหญ่ใช้กับการตรวจกระดาษคำตอบที่มีการระบายหรือฝนเป็นวงกลมด้วยดินสอ 2B เครื่องโอเอ็มอาร์จะอ่านข้อมูลตามเครื่องหมายวงกลมที่ระบายด้วยดินสอดำบนกระดาษคำตอบแล้วเปรียบเทียบผลคะแนนได้อย่างรวดเร็ว
5.5 กล้องบันทึกภาพดิจิทัล (digital camera) มีรูปร่างและการทำงานคล้ายกล้องถ่ายภาพ สามารถถ่ายภาพได้ทั้งภาพเคลื่อนไหว และภาพนิ่ง ภาพที่ถ่ายจะบันทึกเป็นไฟล์ในหน่วยความจำของกล้องแทนฟิล์ม ซึ่งสามารถดูภาพได้จากกล้องทันที จึงง่ายต่อการใช้
5.6 กล้องบันทึกวีดีโอดิจิทัล (digital video camera) เป็นอุปกรณีที่ใช้สำหรับบันทึกภาพเคลื่อนไหวและบันทึกข้อมูลแบบดิจิทัล นิยมใช้ในงานประชุมทางไกลผ่านวีดีโอ ซึ่งเป็นการประชุมแบบกลุ่มผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
6. อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง (audio input) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณเสียงของมนุษย์ซึ่งเป็นสัญญาณแอนะล็อกและแปลงให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณดิจิทัล เพื่อเก็บเป็นไฟล์ข้อมูลเสียงในเครื่องคอม ซึ่งอุปกรณ์รับข้อมูลเสียงที่สำคัญได้แก่ ไมโครโฟน และแผ่นวงจรเสียง (sound card)
7. อุปกรณ์รับข้อมูลผ่านทางร่างกายมนุษย์ (haptic device) อุปกรณ์รับข้อมูลผ่านร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเพื่อใช้กับผู้พิการในการควบคุมอุปกรณ์หรือเครื่องจักรต่างๆ โดยอุปกรณ์จะใช้หลักการสัมผัสทางกายภาพเป็นธรรมชาติของมนุษย์
อุปกรณ์รับข้อมูลผ่านทางร่างการมนุษย์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น เสื้อผ้า ถุงมือ รองเท้า เป็นต้น อุปกรณีเหล่านี้นิยมนำมาประยุกต์ใช้กับความเป็นจริงเสมือน (virtural reality : VR) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกกับอุปกรณ์รับข้อมูลผ่านร่างกายมนุษย์ ที่จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมสามมิติที่ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ให้ผู้ใช้ได้เห็นหรือได้ยิน ตัวอย่างเช่น การฝึกเครื่องบินจำลอง การจำลองการทำงาน เกมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2.2 หน่วยประมวลผลกลาง
หน่วยประมวลผลกลาง(Central processing unit) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซีพียู (CPU) เป็นอุปกรณ์หลักในการประมวลผล เพื่อหาผลลัพธ์หรือสารสนเทศตามที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น การคำนวณ การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การจัดกลุ่ม เป็นต้น ดังนั้นการประมวลผลของเครื่องคอมพวเตอร์จึงเปรีบยเสมือนสมองของมนุษย์ที่สามารถคิดวิเคราะห์เพื่อหาผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ต้องการได้ ซีพียูของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะถูกบรรจุในชิปที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ (micrsprocesser)
ซีพียูทำหน้าที่ควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์ข้อมูลนำเข้า (input device) ตามคำสั่งต่างๆ ในโปรแกรมที่เตรียมไว้ และส่งไปยังส่วนการแสดงผลข้อมูล เพื่อให้สามารถเก็บหรืออ่านผลลัพธ์ได้ ถ้าซีพียูมีความเร็วมาก การประมวลผลก็จะทำได้เร็วขึ้น
ความเร็วของซีพียูจะถูกควบคุมโดยสัญญาณนาฬิกา ซึ่งเป็นตัวให้จังหวะการทำงานเหมือนกับจังหวะของการเล่นดนตรี หน่วยวัดความเร็วของสัญญาณนาฬิกาดังกล่าว เรียกว่า เฮิรซ์ (hertz sinv Hz) ซึ่งเท่ากับ 1 ครั้งต่อวินาที โดยปกติแล้วซีพียูจะมีการทำงานเร็วมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นของซีพียูและสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาสำหรับแต่ละรุ่นหน่วยวัดความเร็วของซีพียูที่พบเห็นในปัจจุบันตัวอย่างเช่น
1,000,000 ครั้งต่อวินาที หรือ 1 MHz (1 MHz)
1,000,000,000 ครั้งต่อวินาที หรือ 1 Gigahertz (1 GHz)
หน่วยประมวลผลกลางแบ่งออกเป็น 2 หน่วย คือ หน่วยควบคุม และหน่วยคำนวณและตรรกะ
1) หน่วยควบคุม (control unit) ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของหน่วยอื่นๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ ให้ทำตามชุดคำสั่งที่ป้อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์
2) หน่วยคำนวณและตรรกะ (arithmetic – logic unit) ทำหน้าที่เปรียบเทียบคำนวณและปฏิบัติการทางตรรกะ
นอกจากนี้ ซีพียูยังมีองค์ประกอบสำคัญ 2 องค์ประกอบ คือ เรจิสเตอร์ และบัส
เรจิสเตอร์ (register) เป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลหรือชุดคำสั่งไว้ชั่วคราวในระหว่างการประมวลของซีพียู เรจิสเตอร์ในซีพียูมีหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวนับระบุตำแหน่งคำสั่ง (program counter : PC) เก็บตำแหน่งที่อยู่ของคำสั่งถัดไปที่จะนำมาประมวลผล (instrucute register : IR) เก็บคำสั่งก่อนการกระทำการประมวลผลคำสั่ง (execute) และเก็บข้อมูลชั่วคราว (accumulator) เป็นต้น
บัส (bus) คือ เส้นทางการรับส่งข้อมูลระหว่างหน่วยต่างๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์
2.3 หน่วยความจำหลัก
หน่วยความจำหลัก (main memory) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลและคำสั่งที่ได้รับจากหน่วยรับข้อมูลและเก็บผลลัพธ์ที่ผ่านการประมวลผลแล้ว ขณะที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งาน บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (primary storage)
หน่วยความจำหลักทำงานควบคู่ไปกับซีพียูและช่วยให้การทำงานของซีพียูมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ซึ่งซีพียูจะทำหน้าที่นำคำสั่งจากหน่วยความจำหลักมาแปลงความหมายแล้วกระทำตาม เมื่อทำเสร็จก็จะนำผลลัพธ์มาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก โดยซีพียูจะกระทำตามขั้นตอนเช่นนี้เป็นวงรอบเรื่อยไปอย่างรวดเร็ว เรียกการทำงานนี้ว่า วงรอบคำสั่ง (execution cycle) โดยวงรอบของการทำงานของซีพียูนั้นทำงานเร็วมาก หากไม่มีที่เก็บหรือพักข้อมูลและความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลที่มีขนาดเพียงพอ จะทำให้การประมวลผลช้าลงตามไปด้วย โดยทั่วไปหน่วยความจำหลัก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้